O2 อำนาจหน้าที่และพื้นที่รับผิดชอบ

1.อำนาจหน้าที่และภารกิจของสถานีตำรวจ

                      สถานีตำรวจ มีหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดในคดีอาญาภายในเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือเขตพื้นที่การปกครอง รวมถึงการรับผิดชอบในด้านการงานและการปกครองบังคับบัญชาถัดรองลงไปจากกองบังคับการตำรวจนครบาล(1-9) หรือตำรวจภูธรจังหวัด เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ความมั่นคงภายใน บริการทางสังคม ชุมชน และมวลชนสัมพันธ์ การพัฒนางานบริหารและงานจเรตำรวจ การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและการรักษาความสงบเรียบร้อย รวมถึงงานกิจการพิเศษ และงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถานีตำรวจ ซึ่งงานในสถานีตำรวจ แบ่งออกเป็น 5 สายงาน ดังนี้
                    1) งานอำนวยการ
                         มีหน้าที่เกี่ยวกับการอำนวยการ การวางแผน การตรวจสอบติดตามและประเมินผลงานที่เกี่ยวกับนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนงานของสถานีตำรวจ งานการบริหารบุคลากร งานจเรตำรวจงานกิจการพิเศษ งานความมั่นคง การศึกษา การฝึกอบรม งานวิชาการ สวัสดิการ การพัฒนา การบริหารจัดการ งบประมาณ การเงิน การพัสดุ การพลาธิการและสรรพาวุธ การส่งกำลังบำรุง รวมทั้งลักษณะงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนประกอบของงานดังกล่าว เพื่อส่งเสริมหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ

2) งานป้องกันปราบปราม
                         มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุม กำกับ ดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผล ตลอดจนปฏิบัติงานในด้านการป้องกันอาชญากรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยงานคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ งานชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อมิให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในเขตอำนาจ การรับผิดชอบหรือพื้นที่ปกครองของสถานีตำรวจ 
                   3) งานจราจร
                        มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุม กำกับ ดูแล ตรวจสอบและประเมินผลงานด้านการควบคุมจราจร จัดการและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับจราจร งานจราจรตามโครงการพระราชดำริ รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านการจราจร ในเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือพื้นที่ปกครองของสถานีตำรวจ ตลอดจนพื้นที่ที่มีการจราจรต่อเนื่องกัน
                4) งานสืบสวน
                      มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุม กำกับ ดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผล ตลอดจนปฏิบัติงานในด้านการสืบสวน อาชญากรรม การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาทุกฉบับ ตลอดจนองค์กรหรือเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลัง รวมทั้งงานที่มีลักษณะเกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่อมิให้เกิดอาชญากรรมขึ้นในเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือพื้นที่ปกครองของสถานีตำรวจ  
               5) งานสอบสวน
มีหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน อำนวยการ สั่งการ ควบคุม กำกับ ดูแล ตรวจสอบติดตามและประเมินผลด้านการสอบสวนคดีอาญา การมีความเห็น การให้ความเห็นชอบ หรือเป็นส่วนประกอบของงานนี้ เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาให้บังเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในเขตอำนาจการรับผิดชอบหรือพื้นที่ปกครองของสถานีตำรวจ.

รูปภาพนี้มี Alt แอตทริบิวต์เป็นค่าว่าง ชื่อไฟล์คือ .png

เขตพื้นที่รับผิดชอบ

สภาพที่ตั้งและอาณาเขต

อำเภอพังโคน ตั้งอยู่ตอนกลางค่อนไปทางทิศตะวันตกของอำเภอเมืองสกลนคร มีพื้นที่ 383.8 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 239,875 ไร่ ห่างจากเทศบาลสกลนครไปตามทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 22 เป็นระยะทางประมาณ 54 กิโลเมตร แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 5 ตำบล 70 หมู่บ้าน มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียงดังต่อไปนี้

ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนคร

ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอพรรณานิคม และอำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร

ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

อำเภอพังโคนแบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 5 ตำบล 70 หมู่บ้าน

1.พังโคน(Phang Khon)13 หมู่บ้าน

2.ม่วงไข่(Muang Khai)11 หมู่บ้าน

3.แร่(Rae)14 หมู่บ้าน

4.ไฮหย่อง(Hai Yong)18 หมู่บ้าน

5.ต้นผึ้ง(Ton Phueng)13 หมู่บ้าน

ท้องที่อำเภอพังโคนประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 6 แห่ง ได้แก่

1.เทศบาลตำบลพังโคน ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลพังโคน

2.เทศบาลตำบลไฮหย่อง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลไฮหย่องทั้งตำบล

3.เทศบาลตำบลพังโคนศรีจำปา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลพังโคน (เฉพาะนอกเขตเทศบาลตำบลพังโคน)

4.เทศบาลตำบลแร่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแร่ทั้งตำบล

5.องค์การบริหารส่วนตำบลม่วงไข่ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลม่วงไข่ทั้งตำบล

6.องค์การบริหารส่วนตำบลต้นผึ้ง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลต้นผึ้งทั้งตำบล

ประวัติและความเป็นมาอําเภอพังโคน

การตั้งถิ่นฐานในพื้นที่อำเภอพังโคน พบหลักฐานเก่าแก่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในกลุ่มวัฒนธรรม บ้านเชียงสมัยตอนปลาย ดังปรากฏการค้นพบเศษภาชนะเครื่องปั้นดินเผา และตะกรันจากการถลุงเหล็ก กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณเขตเทศบาลตำบลพังโคน อาทิเช่น บริเวณสี่แยกพังโคน (บริเวณ อาคารพาณิชย์ให้เช่าของโรงเรียนบ้านพังโคนจำปา) วัดศรีจอมธาตุ

วัดศรีบุญเรือง และรอบนอกบริเวณ บ้านหนองโจด ตำบลไฮหย่อง บ้านม่วงไข่ ตำบลม่วงไข่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร

แสดงถึงการกระจายตัวของกลุ่มวัฒนธรรมบ้านเชียง เมื่อประมาณ 2,300-1,800 ปีมาแล้ว

ต่อมาราวพุทธศตวรรษที่ 23 วัฒนธรรมล้านช้างเจริญรุ่งเรือง มีการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของผู้คน กลุ่มวัฒนธรรมไทลาว ภายใต้อำนาจการปกครองของอาณาจักรล้านช้าง โดยขุนนางท้องถิ่นดังปรากฎ ในจารึกวัดบ้านแร่ (วัดเหนือศรีสะอาด) ตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร กล่าวถึงการอุทิศที่ดิน สร้างวัด และจารึกธาตุสร้างบ้านแร่ (วัดธาตุศรีบุญเรื่อง) ตำบลแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร กล่าวถึงการอุทิศที่ดินให้แก่วัดของผู้ปกครองในท้องถิ่น เมื่อจุลศักราช 712 ( พุทธศักราช 1893) โดยจารึกหลัก เป็นจารึกหลักนี้เป็นอักษรไทยน้อยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยในขณะนี้

ต่อมาภายหลังพบว่า ศาสนสถานที่สร้างขึ้นในช่วงวัฒนธรรมล้านช้างถูกทิ้งร้างไป เนื่องมาจากความอ่อนแอของอาณาจักรล้านช้าง และเมื่อสยามมีอำนาจเหนืออาณาจักรล้านช้างบรรดาชุมชนเริ่มปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง และพบว่าหลายชุมชนในอำเภอพังโคนตั้งทับซ้อนอยู่บนชุมชนโบราณ ครั้นล่วงมาถึงในรัชสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวผู้ไทจากเมืองกะปองหรือเมืองกะป๋องนำโดยท้าวแก้ว ได้ข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งหมู่บ้านจำปานำโพนทอง ทำราชการอยู่ในเขตแดนเมืองสกลนคร และขณะนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมมากทำให้กรมการเมืองสกลนครมีใบบอกขึ้นกราบทูล ขอยกบ้านจำปานำโพนทองขึ้นเป็นเมือง ให้ท้าวแก้วเป็นเจ้าเมือง แต่ด้วยเหตุว่า บ้านจำปานำโพนทองมีท้าวเพี้ย มีคนมากพอเป็นกำลังปราบปรามโจรผู้ร้ายได้ ในพุทธศักราช 2421 จึงมีการโปรดเกล้าฯ ยกบ้านจำปานำโพนทอง เป็น “เมืองจำปาชนบท” ทำราชการขึ้นต่อเมืองสกลนคร ให้ท้าวแก้วเป็นพระบำรุงนิคมเขตร (แก้ว) ทำราชการตำแหน่งเจ้าเมือง

ภายหลังจากพระบำรุงนิคมเขตร (แก้ว) ถึงแก่กรรมลง อุปฮาด (คำไขย) เป็นผู้รักษาราชการแทนจึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระปทุมเทวาพิทักษ์ และได้รับพระราชทานเป็นพระบำรุงนิคมเขตร (คำไขย) เจ้าเมืองจำปาชนบท เมื่อถึงปีพุทธศักราช 2440 มณฑลจัดการเปลี่ยนระเบียบตำแหน่งกรมการเมืองให้เหมือนกันทุกเมืองตามระเบียบกรมการหัวเมืองชั้นใน จึงให้พระปทุมเทวาพิทักษ์ (คำไขย) จากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นผู้ว่าราชการเมือง หลวงประเทศรักษา (หนู) เป็นตำแหน่งปลัดเมือง หลวงโยธาภักดี (เม้า) และขุนโยธีพิทักษ์ (ด้วง) ตำแหน่งศาลเมือง ขุนมหาดไทย (อินทร์) ตำแหน่งมหาดไทยเมือง ขุนกัตติยะ (สา)ตำแหน่งนครบาลเมือง ขุนสุริยะ (เคน) ตำแหน่งคลังเมือง ขุนวรสิทธิ์ (ตา) ตำแหน่งโยธาเมือง

ในปีพุทธศักราช 2445 ได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นอำเภอจำปาชนบท โดยให้อำเภอจำปาชนบทอยู่ในบริเวณสกลนคร และปีพุทธศักราช 2445 ทางมณฑสมีคำสั่งให้ยุบอำเภอจำปาชนบทรวมเข้ากับอำเภอพรรณานิคม ครั้งนั้นพระบำรุงนิคมเขตร (คำไขย) ผู้ว่าราชการเมืองจำปาชนบท จึงได้พาครอบครัวพร้อมด้วยราษฎรจำนวนหนึ่งย้ายไปยังบ้านม่วง ต่อมาทางราชการยกกลับขึ้นเป็นอำเภอจำปาชนบทดังเดิม โดยให้หลวงพิจารย์อักษร (เส พรหมสาขา ณ สกลนคร) บุตรพระยาประจันตประเทศธานี (โง่นคำ พรหมสาขา ณ สกลนคร) อักษรเลขจังหวัดสกลนคร มาเป็นนายอำเภอจำปาชนบท แต่เป็นอำเภอได้ในระยะหนึ่งจึงถูกยุบลงเป็นตำบลขึ้นกับอำเภอพรรณานิคม ระยะหลังราษฎรส่วนใหญ่ย้ายมาอยู่บ้านพังโคนหรือดอนพังโคน เมื่อมีผู้คนเข้ามาอยู่มากจึงมีฐานะเป็นตำบลพังโคนส่วนตัวเมืองเดิมเรียก”บ้านจำปานาเหมือง” หรือ “บ้านนาเหมือง” เท่านั้น ภายหลังทางราชการได้ประกาศให้ตำบลพังโคนเป็นกิ่งอำเภอเมื่อปี พ.ศ. 2511 และแยกออกจากอำเภอพรรณานิคมยกฐานะเป็น “อำเภอพังโคน” ในปีพ.ศ. 2514 ขึ้นกับจังหวัดสกลนคร

ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567